บรรพบุรุษของชาวบ้านคำชะอีเป็นชนเผ่าผู้ไทยดำ มีผู้รู้บันทึกไว้ว่า
เดิมมีวิวาทสถานอยู่ที่ เมืองแถน หรือ เมืองแถง (หรือเมืองนาน้อยอ้อยหนู
หรือเมืองน้ำน้อยอ้อยหนู ) เมืองนี้ในปัจจุบันคือเมืองเดียนเบียนฟู
ประเทศเวียดนาม
ที่
เรียกผู้ไทยดำก็เพราะว่าชอบใส่เสื้อผ้าสีดำ
เพราะสมัยนั้นชนเผ่านี้รู้จักสกัดสีจากพืชชนิดหนึ่งซึ่งจะได้สีดำคราม
จึงเรียกว่าต้นคราม ในความรู้สึกของผู้ไทยว่าเป็นสีที่สวยงามมาก
จึงนิยมนำมาย้อมผ้าทำเป็นเครื่องนุ่งห่ม
โดยเฉพาะเสื้อผ้ามักนิยมใส่สีดำนี้เป็นประจำ ไม่ว่าจะไปทำงาน (ทำนา ไร่ สวน
) หรือไปงานบุญพิธีต่างๆ จึงได้รับขนาดนามว่า “ผู้ไทยดำ”
ส่วนผู้ไทยอีกเผ่าหนึ่งอยู่ที่เมืองซึ่งอยู่ตอนเหนือขึ้นไปใกล้กับดินแดนจีน ได้รับอิทธิพลจากจีนที่ชอบนุ่งขาวห่มขาว จึงได้ชื่อว่า “ผู้ไทยขาว”
อยู่
มาที่เมืองแถนเกิดทุพภิกขภัย ราษฎรเกิดความเดือนร้อน อดอยากยากแค้น
และอาดจะถูกเจ้าเมืองขามเหงรังแกชาวเมืองแถนกลุ่มหนึ่งจึงอพยพลงมาอยู่กับ
เจ้าเมืองอนุรุธธิราชแห่งเมืองเวียงจันทน์
เจ้าเมืองเวียงจันทน์จึงให้ไปอยู่ที่เมืองวัง
และต่อมาได้ขยับขยายออกไปเป็นหลายเมือง เช่น เมืองบก เมืองผาบัง
เมืองอ่างคำ เมืองพิน เมืองนอก เมืองเซโปน เมืองเชียงฮ่ม เมืองคำอ้อ
เมืองพาน
บรรพบุรุษชาวบ้านคำชะอีเป็นชาวเมืองวัง
พ.ศ.2369
เจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์เป็นกบฏต่อกรุงเทพฯ รัชกาลที่ 3
จึงโปรดให้กองทัพสยามขึ้นไปปราบได้สำเร็จและได้กวาดตอนผู้คน
รวมทั้งผู้ไทยเมืองต่างๆ เข้ามาอยู่ฝั่งขวาแม่น้ำโขงด้วย
เช่นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ สกลนคร นครพนม
แต่ก็ยังมีชาวผู้ไทยอีกเป็นจำนวนมากที่ทิ้งบ้านทิ้งเมืองหลบหนีภัยสงคราม
เข้าอยู่ป่า
ผู้
ไทยเมืองวังและเมืองคำอ้อกลุ่มหนึ่งที่ถูกกวาดตอนมา
ได้ขอเข้าไปอยู่กับพระจันทรสุริยวงศ์(พรหม) เจ้าเมืองมุกดาหารคนที่ 3
(2384-2405)
อยู่ชั่วระยะหนึ่งก็ขออนุญาตจากเจ้าเมืองอพยพออกมาทางทิศตะวันตกของเมือง
มุกดาการเพื่อหาทำเลที่จะตั้งหลักแหล่งแห่งใหม่
กลุ่มที่อพยพมานี้ต่างพร้อมใจยกให้ ท้าวสิงห์ เจ้าเมืองคำอ้อเป็นผู้นำ
ตอน
แรกกลุ่มที่อพยพมานี้พักอยู่ที่แห่งหนึ่ง
(อยู่ระหว่างบ้านตกแดดและบ้านหนองเอี่ยนทุ่ง)
แต่เห็นว่าค่อนข้างจะเป็นที่โคกหินแห่ (หินลูกรัง)
ไม่เหมาะที่ทำการเพาะปลูก จึงอพยพลงมาทางทิศใต้เข้าสู่ดงทึบ
มาเห็นสายน้ำแห่งหนึ่งบริเวณรอบๆ มีความชุ่มชื้นน่าจะเหมาะแก่การเพราะปลูก
จึงอพยพต่อลงมาทางทิศใต้เข้าสู่ดงทึบ มาเห็นสายน้ำแห่งหนึ่งรอบๆ
มีความชุ่มชื้นน่าจะเหมาะแก่การเพาะปลูก
ชาวเมืองวังจึงตัดสินใจที่จะพักอยู่ที่นี่เพื่อจะสำรวจที่ทางต่อไป
ส่วนชาวเมืองคำอ้อนั้นอพยพต่อไปอีกทางทิศใต้และไปตั้งหลักแหล่งที่แห่งหนึ่ง
ซึ่งในปัจจุบันนี้คือ บ้านหนองสูง
สายน้ำตรงที่ชาวเมืองวังพักอยู่นี้เป็นสายน้ำซับ(ผู้ไทยเรียกว่า”น้ำคำ”) มีน้ำไหลตลอดทั้งปี ในป่าบริเวณรอบๆ มีจักจั่นชนิดหนึ่งมีจำนวนเรือนหมื่นอาศัยอยู่ ผู้ไทยเรียกจักจั่นชนิดนี้ว่า”แมงอี” ตามเสียงร้องของมันที่หูของผู้ไทยได้ยิน จึงเรียกสายน้ำแห่งนี้ว่า “สายคำแมงอี” อยู่มาก็เพี้ยนเป็นคำ “คำสระอี” และ”คำชะอี” ซึ่ง
เป็นชื่อของบ้านจนถึงปัจจุบัน ส่วนบริเวณที่พักตอนแรกนั้น
ที่ริมสายน้ำจะเป็นลานหินเรียบสลับกับที่โล่ง บริเวณลานหินนั้น
เวลาเดินย่ำลงไปจะมีเสียงดัง “ตึงๆ” ตามฝีเท้าที่ย่ำลงไป จึงเรียกบริเวณนี้ว่า “ดานตึง” มาจนถึงปัจจุบัน
เมื่อ
ได้พักและสร้างเพิงที่พักแล้ว
ชาวเมืองวังกลุ่มนี้ก็พากันออกสำรวจที่ทางใครชอบตรงใดก็จับจองเอาตามใจชอบ
(สมัยนั้นคนมีน้อย ที่ดินมีมากไม่มีการห้ามหวงแต่อย่างใด)
แต่ละคนก็ได้ที่ดินกันกว้างขวาง ทั้งทางด้านทิศตะวันออก(นาหลวง)
และทิศใต้(นาขี้หมู นาหนองแจ้งเรื่อยลงไป)
เมื่อ
หักล้างถางพงลงเป็นสวนแล้วก็อพยพจากที่พักตอนแรก(ดานตึง)
เข้าไปอยู่ประจำที่สวนของตนจากสวนหลายปีเข้าก็พลิกฟื้นเป็นผืนนาขยับขยายออก
ไปเรื่อยๆ จำนวนคนก็เพิ่มมากขึ้นกลายเป็นชุชนย่อมๆ กระจายกันอยู่ เช่น
บ้านโพนแดง(บริเวณที่พักสงฆ์แก้งวังนอง)
บ้านหนองไหล(ทางทิศตะวันตกบ้านาหนองแจ้ง)
บ้านฝากห้วย(ฝั่งห้วยคันแทใหญ่ทางทิศตะวันตกคนละฟากกับที่ตั้งโรงสีใหญ่
จำเริญพัฒนา) บ้านตาดโตน(อยู่ริมฝั่งแก้งม่วงไข่ห้วยคันแทใหญ่)
บ้านคำชะอี(ที่เป็นหมู่ 4 และหมู่ 14 ในปัจจุบัน)
บ้านนี้ใหญ่กว่าทุกบ้านที่กล่าวมา ต่อมา บ้านโพนแดง บ้านหนองไหล
บ้านฟากห้วย บ้านตาดโตนก็ร้างเพราะอพยพเข้ามาอยู่บ้านใหญ่(คือบ้านคำชะอี)
และไปอยู่ถิ่นอื่นบ้าง
บ้านคำชะอีก็กลายเป็นบ้านผู้ใหญ่บ้านขึ้นเรื่อยๆ ประมาณ พ.ศ.2450 ได้รับการยกฐานะเป็นตำบลคำชะอี โดยมี เจ้าพรหมรินทร์ (นายต้อน สุวรรณไตรย์) เป็นกำนันคนแรก
5
มิถุนายน 2484 ได้ยกฐานะเป็นกิ่งอำเภอคำชะอี (ที่ทำการกิ่งอยู่ตรงตลาด
อบต.ตรงข้ามกับโรงเรียนคำชะอีพิทยาคมในปัจจุบัน)
สถานีตำรวจอยู่บริเวณข้างบ้านอาจารย์นพดล-บุษบา อุปัญญ์
ด้านทิศตะวันออกครอบคลุมบริเวณที่เป็นศูนย์พัฒนาเด็กเล็กด้วย
พ.ศ.2492 ได้ย้ายที่ทำการกิ่งเข้าไปอยู่ที่บ้านน้ำเที่ยง แต่ยังใช้ชื่อกิ่งอำเภอคำชะอี
6
มิถุนายน 2499 ได้รับการยกฐานะเป็นกิ่งอำเภอคำชะอี
ที่ทำการอำเภอก็คงยังอยู่ที่บ้านน้ำเที่ยงมาจนถึงปัจจุบัน
ส่วนบ้านคำชะอีก็เป็นเพียงอำเภอร้าง มีฐานะเป็นตำบลคำชะอี
ขึ้นกับอำเภอคำชะอี และมีฐานะเป็นเพียงเจ้าของชื่อ “อำเภอคำชะอี” เท่านั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
ท่านสามารถแสดงข้อคิดเห็นที่เหมือน หรือ แตกต่างได้ครับ ขอความกรุณาใช้ถ้อยคำที่สุภาพด้วยครับ ขอบคุณครับ